สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดชัยภูมิ



อุทยานแห่งชาติตาดโตน


อุทยานแห่งชาติตาดโตน
มีน้ำตกตาดโตน ซึ่งอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติภูแลนคา ตั้งอยู่ ต.นาฝาย อ.เมือง จ.ชัยภูมิ เป็นน้ำตกที่สวยงาม มีลานหินกว้างและมีน้ำไหลตลอดปี ด่านล่างของน้ำตกเล่นน้ำได้
อุทยานแห่งชาติตาดโตน มีพื้นที่อยู่บนเทือกเขาภูแลนคา มีพื้นที่ประมาณ 1 ใน 4 ของเทือกเขาภูแลนคา โดยทั่วไปเป็นที่ราบสูงโดยมีเทือกเขาล้อมรอบที่ราบเอาไว้ ตอนกลางเป็นหุบเขากว้างใหญ่ พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะมีเขาภูเขียว ภูกลาง และภูแลนคา ซึ่งจะมีระดับสูงสุด 905 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือจะมียอดภูแลนคาซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานแห่งชาติตาดโตน โดยมีความสูงประมาณ 945 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดเขาสูงเหล่านี้เป็นต้นน้ำลำธารของห้วยต่างที่สำคัญหลายสาย และต้นกำเนิดของน้ำตกตาดโตน ได้แก่ ห้วยลำปะทาวหรือห้วยตาดโตน ห้วยน้ำซับ ห้วยคร้อ ห้วยตาดโตนน้อย ห้วยสีนวน และห้วยแก่นท้าว ซึ่งจะไหลรวมกันเป็นห้วยปะทาวและไหลผ่านตัวอำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ นอกจากนี้ยังมีห้วยที่สำคัญคือ ห้วยชีลอง ห้วยช่อระกา ห้วยเสียว ห้วยแคน และห้วยเสียวน้อย สภาพป่าเป็นป่าดิบแล้ง ในบริเวณริมลำห้วยหุบเขาและยอดเขามีดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ดี และป่าเต็งรังเป็นดินกรวด มีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างต่ำ
สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและจองบ้านพักล่วงหน้าได้ที่ กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ บางเขน กรุงเทพฯ โทร. 579-0529, 579-4842 การเดินทาง ไปตามทางหลวงหมายเลข 2051 จากตัวเมืองถึงที่ทำการอุทยานฯ ระยะทางประมาณ 21 กม. ถนนราดยางตลอดสาย

อุทยานแห่งชาติภูแลนคา


    อุทยานแห่งชาติภูแลนคา มีพื้นที่ 148 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอ คือ อำเภอเมือง บ้านเขว้า หนองบัวแดง และเกษตรสมบูรณ์ ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อน สภาพป่ามีทั้งป่าทึบและป่าโปร่ง เป็นต้นน้ำลำธารของลำห้วยที่ไหลลงสู่แม่น้ำชี มีจุดเด่นทางธรรมชาติหลากหลายทั้งหน้าผาสันเขา ลานหินและก้อนหินรูปร่างแปลก ๆ รวมทั้งพืชพรรณที่น่าสนใจ เหมาะมาเที่ยวชมในระหว่างเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม ทางอุทยานฯได้จัดทำเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของอุทยานฯ ได้แก่


     ป่าหินงามจันทร์แดง เป็นลานหินกว้างที่มีก้อนหินรูปร่างลักษณะแปลกพิสดารต่าง ๆ จำนวนมาก โดยมี ต้นจันทร์แดงเจริญเติบโตบนโขดก้อนหินใหญ่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ การเดินทางต้องเดินเท้าเข้าไปและ
ใช้เวลามาก

     ภูคี เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูแลนคา เชื่อมต่อกันระหว่างอำเภอเกษตรสมบูรณ์กับอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,038 เมตร เป็นยอดภูที่สูงที่สุดของพื้นที่อุทยานฯ ซึ่งสามารถมองเห็นภูมิประเทศและบรรยากาศภูหยวก ภูตะเภา เทือกเขาภูเขียว อำเภอเกษตรสมบูรณ์ อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ และมีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี รวมทั้งพื้นที่ที่มีพันธุ์ไม้ป่าและสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก
     ภูเกษตร เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูแลนคา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 966 เมตร เป็นยอดภูที่สูงเป็นอันดับสองรองจากภูคีของพื้นที่อุทยานภูแลนคา ซึ่งสามารถมองเห็นภูมิประเทศและบรรยากาศของภูคี 
ภูอ้ม ภูคล้อ ภูกลาง เทือกเขาภูเขียว อำเภอเกษตรสมบูรณ์ และอำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ เป็นพื้นที่ที่มีภูมิประเทศหนาวเย็นและแห้งแล้ง เพราะสภาพพื้นที่ป่าไม้บนยอดภูถูกทำลายจากการบุกรุกพื้นที่ของราษฎร และกลายเป็นไร่ร้างที่มี
พื้นที่กว้างใหญ่บนเทือกเขาภูแลนคา

      ทุ่งดอกกระเจียวบริเวณป่าหินงามทุ่งโขลงช้าง เป็นพื้นที่ป่าเต็งรังที่มีต้นกระเจียวขึ้นอยู่ตามซอกหินสลับกับต้นไม้นานาชนิด มีทั้งดอกสีชมพูและดอกสีขาวนอกจากนี้ยังมีก้อนหินใหญ่คล้ายช้าง เหมาะมาเที่ยวชมในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม
จุดชมวิวลานหินร่องกล้า เป็นลานหินกว้างใหญ่ และหินแตกเป็นร่องลึกจำนวนมาก พร้อมกับเกิดขึ้นเป็นผาหินเด่นชัด สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 700-800 เมตร
จุดชมวิวป่าหินปราสาท มีก้อนหินขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายปราสาทเป็นลักษณะเด่นในพื้นที่และเป็นจุดชมวิวทางธรรมชาติ ผาแเพ เป็นผาหินขนาดใหญ่ที่เกิดจากการยกตัวสูงขึ้นของชั้นหินและการไหลเลื่อนของหินแร่ ซึ่งปรากฏเห็นเป็นเนื้อสีหินแร่ที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัด และบริเวณโดยรอบถูกปกคลุมด้วยพรรณไม้นานาชนิด และในการเดินทางต้องเดินทางด้วยทางเท้า ประตูโขลง (ซุ้มประตูหินธรรมชาติ) เป็นก้อนหินขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายประตูหิน บริเวณโดยรอบยังมีก้อนหินลักษณะแปลกพิศดารจำนวนมากสลับกับป่าเต็งรัง ผากล้วยไม้ เป็นหน้าผาสูงลดหลั่นตามลำดับ โดยทอดตัวยาวติดต่อกัน มีพันธุ์กล้วยไม้หายากหลายชนิดขึ้นเป็นจำนวนมากตลอดผาถ้ำพระและถ้ำเกลือ เป็นลักษณะถ้ำหินทรายขาวที่เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของน้ำที่ไหลลอดไปตามซอกหิน และเกิดปฏิกิริยาทางเคมีเป็นเวลานาน ประกอบกับการผันแปรและการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของชั้นหินทราย จนเกิดโพรงขนาดใหญ่และสามารถเดินเข้าไปในถ้ำได้ ซึ่งแต่ละถ้ำจะมีลักษณะเด่นแตกต่างกันตามสภาพการผันแปร
       น้ำตกตาดโตนน้อย เป็นน้ำตกที่เกิดขึ้นจากลำห้วยน้อยใหญ่ไหลมารวมกัน ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาภูเกษตร และเป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลตลอดปีเขาขาดและแม่น้ำชี เป็นลักษณะที่เกิดขึ้นทางธรรมชาติของเทือกเขา โดยเกิดขึ้นจากการยุบตัวและยกตัวของเทือกเขาภูแลนคากับเทือกเขาพังเหย กลายเป็นช่องเขาขาด และมีตำนานเล่าสืบต่อกันมานาน ส่วนแม่น้ำชีเป็นแม่น้ำสายหลักของจังหวัดชัยภูมิ ที่ไหลผ่านพื้นที่บางส่วนของอุทยานแห่งชาติภูแลนคา เป็นผลให้เกิดทัศนียภาพทางธรรมชาติและทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำชี
      นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ซึ่งมีก้อนหินแปลก ๆ อีกหลายแห่ง ได้แก่ ป่าหินงามปราสาท ป่าหินงามหงส์ฟ้า และแนวหน้าผาซึ่งเป็นจุดชมวิวสวยงามอุทยานฯ มีบ้านพักรับรองและสถานที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวกางเต็นท์พักแรม สอบถามรายละเอียดได้ที่อุทยานแห่งชาติภูแลนคา ตำบลห้วยต้อน อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ โทร. 0 4481 0902-3 หรือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760 หรือ www.dnp.go.th
การเดินทาง จากตัวเมืองชัยภูมิเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 2051 ประมาณ 6 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง หมายเลข 2159 ทางไปหนองบัวแดงอีก 26 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือ มีรถสองแถวสายชัยภูมิ-หนองบัวแดง วิ่งผ่านหน้าที่ทำการอุทยานฯ


มอหินขาว (เสาหินมหัศจรรย์ล้านปี)


    มอหินขาวตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติภูแลนคา เป็นกลุ่มหินขนาดใหญ่จำนวน 3 กลุ่ม โดยจะมีหินทรายก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเป็นสีขาวและโดดเด่นในพื้นที่ และเป็นที่มาของคำว่า มอหินขาว และในบริเวณยังเสาหินขนาดใหญ่จำนวน 5 เสา ตั้งเรียงรายกันเป็นแถว มีความสูงประมาณ 12 เมตร นอกจากนั้นยังมีแท่นหินที่มีรูปร่างคล้ายเรือ เจดีย์ หอเอียงเมืองปิซ่า และคล้ายกระดองเต่า ซึ่งจัดเป็นกลุ่มหินที่ 1 กลุ่มหินที่ 2 อยู่ห่างออกไป แท่นหินจะมีรูปร่างแปลกแตกต่างกันออกไป และเมื่อห่างออกไปอีกประมาณ 1,500 เมตร จะเป็นกลุ่มหินที่ 3 ที่เป็นแท่นหินและเสาหินขนาดเล็ก โดยลาดเอียงขึ้นไปจดหน้าผาที่มีชื่อว่า ผาหัวนาก และบริเวณมอหินขาวยังเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยภูมิที่มาของชื่อ มอหินขาว: เดิมพื้นที่แถวนี้เป็นป่า ต่อมาได้มีคนมาบุกเบิกทำไร่ และก็เห็นมีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ทั่วไปแต่ ก็ไม่ได้สนใจอะไร ที่ไร่มันสำปะหลัง   (ในสมัยนั้น) ของลุงก็มีก้อนหินใหญ่ขึ้นทั่วไป แต่ที่ลุงเห็นว่าแปลกประหลาดมาก ก็คือก้อนหินใหญ่ 5 ก้อน ที่ในทุกคืนวันพระ (15 ค่ำ, 8 ค่ำ) จะมีแสงสีขาวส่องขึ้นมา คนเฒ่าคนแก่สมัยนั้น เลยเรียกที่นี่ว่ามอหินขาวสโตนเฮนจ์ เมืองไทย“เสาหินและแท่งหิน ที่มอหินขาวส่วนใหญ่เป็นหินทรายสีขาว นอกจากนี้ยังมี หินทรายแป้ง หินโคลน หินทรายสีม่วง ซึ่งสันนิษฐานว่าก้อนหินขนาดยักษ์เหล่านี้มีอายุประมาณ    175-195 ล้านปี และเกิดจากการสะสมตัวของตะกอนทรายแป้งและดินเหนียว
กลุ่มหินของมอหินขาวกลุ่มที่โดดเด่นที่สุด คือ กลุ่มหินแรกที่มีเสาหินขนาดใหญ่ 5 ต้นเรียงรายกันอยู่ เสาหินเหล่านี้มีความสูงราว12 เมตร ต้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดต้องใช้คนโอบไม่น้อยกว่า 20 คน เชื่อว่าที่นี่จะได้รับความนิยมในบ้านเราในเวลาไม่นานนัก
สอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูแลนคา โทร. 044810902-3 หรือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 

อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม


     
อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลบ้านไร่ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 270 กิโลเมตร ห่างจากตัวจังหวัดชัยภูมิประมาณ 100 กิโลเมตร ทุ่งดอกกระเจียว เปรียบเสมือนเป็นราชินีแห่งมวลดอกไม้ของขุนเขาแห่งนี้ ที่ทุกคนตั้งใจมาดู มาชมความงามตระการตา ดอกสีชมพูอมม่วงที่ดารดาษไปทั้งผืนป่า ตัดกับสีเขียวขจีของหญ้าเพ็กและโขดหิน ประดุจเทพจากสรวงสวรรค์ประทานให้กับแผ่นดินที่นี่ เป็นทุ่งดอกกระเจียวที่ใหญ่ที่สุดและงดงามที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ เมื่อปี พ.ศ. 2536 กรมป่าไม้ได้ทำการสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงอย่างละเอียด และพบว่ายังมีพื้นที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อรวมกับพื้นที่เดิมแล้วมีประมาณ 112 ตารางกิโลเมตร หรือ 70,000 ไร่ ซึ่งมีจุดเด่นที่น่าสนใจทางธรณีวิทยาอีกมากมาย สมควรที่จะอนุรักษ์ไว้ในรูปแบบของอุทยานแห่งชาติ จึงได้ดำเนินการจัดตั้งพื้นที่แห่งนี้ให้เป็น "อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม" นับตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2537 เป็นต้นมา
สถานที่ท่องเที่ยว
ลานหินงาม เป็นลานหินที่มีรูปร่างแปลกในพื้นที่กว่า 10 ไร่ เกิดจากการกัดเซาะเนื้อดินและหินในส่วนที่จับตัวกันอย่างเบาบางหลุดออกไป นานวันเข้าจึงเกิดโขดหินที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน มองดูสวยงามเป็นที่อัศจรรย์ สำหรับลานหินงามนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของที่ทำการอุทยาน ฯ มีทางรถยนต์เข้าถึง
จุดชมวิวสุดแผ่นดิน เป็นหน้าผาสูงชัน และเป็นจุดที่สูงที่สุดของเทือกเขาพังเหยซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม สูงประมาณ 846 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เกิดจากการยกตัวของพื้นที่เป็นที่ราบสูงอีสาน จึงเป็นรอยต่อระหว่างภาคกลางกับภาคอีสาน ทำให้เรียกบริเวณนี้ว่า "สุดแผ่นดิน" ณ จุดนี้จะเห็นทิวทัศน์ของสันเขาพังเหย และเขตพื้นที่ป่าของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา จุดชมวิวนี้อยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ทำการอุทยาน ฯ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร

ทุ่งดอกกระเจียว กระเจียวเป็นพืชล้มลุกประเภทหัว เป็นพันธุ์ไม้ประจำถิ่นที่ขึ้นมากที่สุดในประเทศไทย ณ ที่แห่งนี้ ปกติจะพบขึ้นกระจายทั่วไป ตั้งแต่ลานหินงามจนถึงจุดชมวิวสุดแผ่นดิน 1 กิโลเมตร ดอกกระเจียวจะขึ้นและบานเป็นสีชมพูอมม่วงในช่วงต้นฤดูฝนเท่านั้น คือเดือนมิถุนายน-สิงหาคมของทุกปี ดอกกระเจียว กระเจียวบัว ปทุมมาหรือบัวสวรรค์ เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปาก เป็นพันธุ์ไม้ประจำถิ่น ที่ขึ้นมากที่สุดในประเทศไทยที่อุทยานฯแห่งนี้ ปกติจะขึ้นปะปนกับหญ้าเพ็ก ซึ่งเป็นไม้พื้นล่างของป่าเต็งรัง หรือป่าโคกที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นห่าง ๆ สลับกับหิน ส่วนใหญ่จะมีไม้เหียงเป็นไม้เด่นกระจายอยู่ทั่วไป ตั้งแต่ลานหินงามจนถึงจุดชมวิว"สุดแผ่นดิน" ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังพบกระเจียวชนิดนี้ที่ อุทยานแห่งชาติไทรทอง อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในแนวสันเขาพังเหยเดียวกัน

 อุทยานแห่งชาติไทรทอง

      อุทยานแห่งชาติสองแห่ง ที่อยู่ไม่ห่างไกลกันมากนัก ถ้าคุณถามว่าจำเป็นไหมที่ต้องไปทั้งสองแห่ง เราขอบอกถึงความแตกต่างระหว่างอุทยานแห่งชาติไทรทอง กับอุทยานแห่งชาติป่าหินงามให้คุณเป็นผู้ตัดสินด้วยตัวเอง ข้อแตกต่างระหว่างสองอุทยานแห่งชาติ ก็คืออุทยานแห่งชาติไทรทองจะมีความเป็นธรรมชาติที่มากกว่า การเข้าไปชมทุ่งดอกกระเจียวแต่ละแห่งจะต้องใช้การเดินเท้าที่ไกลพอสมควร(อย่างน้อยประมาณ 200 เมตร เฉลี่ยความห่างของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง ห่างกันประมาณ 500 เมตร)

เพราะฉะนั้นการมาท่องเที่ยวยังอุทยานแห่งชาติไทรทองนี้ จึงเหมาะกับผู้คนในวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคนที่ยังมีไฟแห่งการต่อสู้อยู่ หากแต่อาจจะไม่เหมาะนักกับผู้ที่ล่วงเลยสู่วัยที่มีคนอื่นเรียกกันว่า ปู่ ย่า ตา ยาย (แต่หาก ลุง ป้า น้า อา คิดว่าไม่ไหวเราก็ไม่แนะนำให้ท่านฝืนสังขารมาเช่นกันนะครับ)สักเท่าไหร่ แต่รางวัลที่รอคอยผู้ซึ่งมีความพยายามมากพออยู่นั้นก็คือ ทุ่งดอกกระเจียวสีขาวขนาดใหญ่ ที่คุณจะหาชมไม่ได้จากอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม (ดอกกระเจียวสีขาวนั้นจะมีขนาดของดอกเล็กกว่า ดอกกระเจียวสีม่วงแดงพอควร “ขนาดใหญ่” ในข้อความข้างต้นจึงหมายความถึง “ขนาดของทุ่งดอกกระเจียวขาว”) นอกจากทุ่งกระเจียวขาวแล้วอุทยานแห่งชาติไทรทองก็ยังมีทุ่งกระเจียวสีม่วงแดงปกติให้ได้ชมกันอีกอย่างน้อย 3 – 4 แห่งและยังมีจุดท่องเที่ยวโดดเด่นอีกก็คือ ผาหำหด จะเป็นยังไงก็ลองพิจารณาภาพ ประกอบแล้วลองไปพิสูจน์ด้วยตัวเองดู ท่านชายหลายๆท่านอาจจะได้ประสบการณ์ที่ประทับใจไม่รู้ลืมเลยก็เป็นได้ หินเทิน เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ก้อนหินขนาดใหญ่น้ำหนักประมาณ 20 ตัน กว้าง 10 เมตร สูง 5 เมตร ตั้งอยู่บนก้อนหินอีกก้อนหนึ่งที่มีจุดตั้งกว้างประมาณ 3 ฟุต ได้อย่างสมดุลและสวยงาม (แต่ขอบอกเลยว่าหินเทินนี้อยู่ห่างไกลจากที่จอดรถมากกกก ใช้เวลาเดินเท้าไปกลับไม่น่าจะน้อยกว่า 1.30 – 2 ชม.เลยทีเดียวนี่ยังไม่นับเวลาเดินไปเที่ยวสถานที่อื่นๆที่กล่าวมาแล้วอีก)
อุปสรรคอีกอย่างหนี่งในการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆของอุทยานแห่งชาติไทรทองก็คือ น้ำตกไทรทอง สูงประมาณ 5 เมตร กว้างประมาณ 80 เมตร ซึ่งคุณจะต้องขับรถผ่านส่วนหนึ่งของน้ำตกเพื่อที่จะขึ้นไปชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆดังข้างต้น หากรถของคุณเป็นรถพื้นต่ำละก็เราขอเตือนไว้เลยว่าอาจไม่สามารถขับผ่านบริเวณดังกล่าวได้ เพราะฉะนั้นกรุณาเตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเดินทางให้ดีก่อนที่จะมาท่องเที่ยวยังอุทยานแห่งนี้
เกร็ดสำคัญ : หากต้องการเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติไทรทองให้ครบถ้วนพอสมควรแล้วละก็คุณควรที่จะมาถึงตั้งแต่เช้าก่อน 9.00 น.เนื่องจากอาจต้องใช้เวลาทั้งวันในการเดินเที่ยว และควรจะเตรียมอาหารสำเร็จรูปและน้ำมาไว้เพื่อรับประทานด้วยเนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งจะต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้นและไม่มีร้านขายอาหารใดๆอยู่เลยระหว่างสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งนอกจากบริเวณลานจอดรถเท่านั้น คำแนะนำสุดท้ายกรุณาอย่าทิ้งเศษขยะเรี่ยราดในบริเวณอุทยานซึ่งเป็นสถานที่ส่วนรวม
การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ผ่านรังสิต ไปจนถึงจ.สระบุรี ผ่านลำนารายณ์ โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 205 เข้าสู่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ ผ่านทางเข้าอุทยานแห่งชาติป่าหินงามไปทางบ้านนายางกลัก ถนนหมายเลข 2354 ผ่านกิ่ง อ.ซับใหญ่ ไปจนถึง อ.หนองบัวระเหว เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 225 ขับต่อไปประมาณกม.ที่ 122 จะพบทางแยกเลี้ยวขวาไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติไทรทอง เดินทางสะดวกถนนลาดยางตลอดสาย หรือ เดินทางจากตัวเมืองชัยภูมิใช้ทางหลวงหมายเลข 225 (ชัยภูมิ-นครสวรรค์) ประมาณ 65 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางแยกขวาไปที่ทำการอุทยานฯอีก 7 กิโลเมตร

เขื่อนจุฬาภรณ์ (เขื่อนน้ำพรม)


      เขื่อนจุฬาภรณ์ (เขื่อนน้ำพรม) ตั้งอยู่ที่ตำบลทุ่งพระ   สร้างปิดกั้นลำน้ำพรมบนเทือกเขาขุนพาย บริเวณที่ เรียกว่า     ภูหยวก ลักษณะเขื่อนเป็นเขื่อนหินถม แกนกลางเป็นดินเหนียวบดอัดทับแน่นด้วยหินและกรวด ตัวสันเขื่อนยาว 700 เมตร ความสูงจากฐานราก 70 เมตร กว้าง 8 เมตร เป็นลักษณะเขื่อนเอนกประสงค์ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยใช้ประโยชน์ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและยังอำนวยประโยชน์ในด้านชลประทาน ช่วยระบายน้ำเพื่อการเพาะปลูกในฤดูแล้งพื้นที่การเกษตร นอกจากนี้ในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดอีกด้วย
บริเวณเขื่อนมีทิวทัศน์ที่งดงาม อากาศเย็นสบายตลอดปี จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยภูมิ ภายในบริเวณเขื่อนมีบ้านพัก ร้านอาหารไว้รับรองนักท่องเที่ยว เรือสำหรับให้ล่องชมอ่างเก็บน้ำ มีจุดชมวิวทิวทัศน์เหนือเขื่อน ศูนย์ทดลองพืชเมืองหนาว และหอดูดาว ติดต่อบ้านพักรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต บ้านพักสถานีทดลองและฝึกอบรมเขื่อนจุฬาภรณ์ (ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น)
สถานที่ท่องเที่ยวภายในเขื่อนจุฬาภรณ์ ได้แก่พระพุทธสิริสัคคราชจำลอง (หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) พระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานที่บริเวณหัวเขื่อนฝั่งซ้าย ตรงข้ามสวนเขื่อนจุฬาภรณ์
สวนเขื่อนจุฬาภรณ์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 41 ไร่ ตกแต่งเป็นป่าอนุรักษ์ มีไม้ป่านานาชนิดพร้อมศาลาพรมพิสมัยสำหรับนั่งพักผ่อน ทางเดินภายในสวนปูพื้นด้วยหินธรรมชาติพืชโบราณ 325 ล้านปี เป็นพืชตระกูลหญ้ามี 2 สายพันธุ์ คือ สนสามร้อยยอด และสนหางม้าหรือหญ้าถอดปล้อง ศาลาชมวิวหลุบควน เป็นจุดชมวิวอยู่ที่ระดับความสูงมากกว่า 800 เมตรสนามริมน้ำข้างพระตำหนัก บรรยากาศสงบร่มรื่น สามารถมองเห็นสันเขื่อนและทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำโดยรอบ
       การเดินทาง จากตัวเมืองชัยภูมิ ใช้เส้นทางชัยภูมิ-ชุมแพ (ทางหลวงหมายเลข 201) ถึงทางแยกหนองสองห้อง เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 2055 (อำเภอคอนสาร) รวมระยะทาง 120 กิโลเมตร หรือหากเดินทางมาตามเส้นทางหล่มสัก-ชุมแพ (ทางหลวงหมายเลข 12) เมื่อถึงบริเวณอำเภอคอนสารมีทางแยกไปเขื่อนจุฬาภรณ์ ระยะทาง 40 กิโลเมตร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น